Stories of my daily blessings
Just another WordPress.com site

สัปดาห์สุดท้ายของพระเยซู ตอนที่1

1)      ทรงรับการเจิม (ยน 12.1-8)  ดังปรากฏในพระธรมมกิตติคุณยอห์นบทที่ 12  ว่าตรงกับวันเสาร์ก่อนถึงปัสคา 6 วัน    ปัสคาจะเริ่มในวันศุกร์หลังตะวันตกดิน   พระเยซูกับสาวก รวมถึงลาซารัสที่พระองค์เรียกเขาให้ขึ้นมาจากความตายก็อยู่ที่นั่นด้วย   มารี ชาวมักดาลา  นำน้ำหอมเจิมอย่างดีในขวดสีขาว ประมาณครึ่งลิตรมาชโลมที่เท้าของพระเยซู และใช้ผมของนางเช็ด  น้ำหอมชนิดนารดะ nard นี้ผลิตทางตอนเหนือของอินเดีย  เขาสั่งซื้อมาเพื่อใช้เจิมที่ศีรษะของซีซาร์เท่านั้น  บอกความหมายว่าพระเยซูทรงเป็นกษัตริย์ แต่ไม่ใช่กษัตริย์ที่จะปกครองเช่นกษัตริย์ทั่วไป พระองค์จะปกครองจิตใจของคน  และพระเยซูยังได้เปิดเผยความมรณาของพระองค์เป็นนัยๆว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว  การชโลมของนางมารีก็ไม่ต่างจากการชโลมพระศพของพระองค์ด้วยเครื่องหอม (ยน  12.7)

2)      เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม (ยน 12.12-19)  การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระองค์เป็นไปดังคำทำนายแต่บรรพกาลว่าพระองค์ทรงลูกลา  อันเป็นสัญญลักษณ์ของกษัตริย์ที่มีใจอ่อนสุภาพ  ประชาชนต่างถือใบทางตาลในมือโบกและโห่ร้อง   ใบตาลถือเป็นสัญญลักษณ์ของชาติยิว การโบกด้วยใบตาลเป็นธรรมเนียมการต้อนรับกษัตริย์ และเฉลิมฉลองชัยชนะที่มีเหนือศัตรู  เศคาริยาห์ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 500 ปีก่อนคริสตกาลว่า ธิดาแห่งศิโยน (หมายถึงเยรูซาเล็ม) จงโห่ร้องในชัยชนะเพราะกษัตริย์ของเธอกำลังเสด็จมาหาเธอ พระองค์ทรงชอบธรรมและทรงเป็นผู้มีชัย  ทรงถ่อมสุภาพ ทรงลูกลา (ศคย 9.9) พระองค์จะมายุติการสงครามและปลดปล่อยให้เป็นไท   คำทำนายของยาโคปหรืออิสราเอล (ปฐก 49.9) กล่าวว่า ธารพระกร (เครื่องหมายแห่งอำนาจกษัตริย์) จะอยู่ในมือของยูดาห์ (พระเยซูเกิดในเผ่ายูดาห์)  จนกว่าชีโลห์ (หมายถึงผุ้ที่พระเจ้าใช้มาหรือแต่งตั้งมา  พระเยซูคือผู้ที่พระเจ้าใช้มา) จะมาและชนชาติทั้งหลายจะเชื่อฟังผู้นั้น   ผูกลาของเขาไว้ที่เถาองุ่นผลแดง  เขาซักผ้าของเขาด้วยเหล้าองุ่นสีเลือด (เล็งถึงการหลั่งโลหิตหรือสิ้นชีวิต)

3)      พระเยซูเปิดเผยการตายของพระองค์ (ยน 12.20-36)   เมื่อทรงทราบว่าคนกรีกต้องการพบพระองค์  พระเยซูตรัสว่าถึงเวลาแล้ว (12.22)  ที่ความรอดจะเป็นของทุกคนไม่จำกัดเฉพาะชาวยิว   พระองค์ตรัสเป็นนัยดังนี้   หากเมล็ดข้าวไม่ตกลงในดินและเน่าเปื่อย (ตายและถูกฝังไว้) ก็คงอยู่เป็นเมล็ดเดียว  แต่ถ้าเน่าเปื่อยแล้วจะงอกขึ้น (ฟื้นขึ้นจากความตาย) เกิดผลมาก (คนทั้งปวงที่เชื่อจะได้รับความรอด)  พระเยซูยืนยันว่า พระองค์คือชีโลห์หรือคนที่พระเจ้าใช้มา (12.27-28, 44, 49)    พระองค์ยังเปิดเผยการตายของพระองค์อีกว่าถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลก ซึ่งหมายถึงการตรึงยกขึ้นบนไม้กางเขน (ข้อ 34)  เพราะเมื่อพระองค์ถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว (ถูกตรึงบนกางเขน)  พระองค์ก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้เข้ามาหาพระองค์ (ข้อ 32)   ความจริงในข้อนี้ปรากฏให้เห็นว่าความเชื่อในพระเยซูคริสต์แพร่ไปทั่วโลกในสองพันปีที่ผ่านมา  จากยิวไปสู่กรีกและโรมันและกระจายออกไปทั่วโลก  พระองค์ยืนยันว่า พระองค์มาเพื่อเป็นความสว่าง (ปัญญา)  นำการดำเนินชีวิต (12.46)  พระองค์ไม่ได้มาเพื่อพิพากษาโลกแต่เพื่อช่วยโลกให้รอด (12.47)    อิสยาห์ได้พยากรณ์ไว้เมื่อ 700 กว่าปีก่อนคริสตกาล (อสย 52.13-14) ว่า พระเยซูจะถูกยกขึ้น  คนทั้งหลายจะเห็นรูปโฉมที่ยับเยินผิดคนปกติ (พระองค์ถูกโบยอย่างหนักก่อนตรึงขึ้นบนกางเขน)

4)      ทรงล้างเท้าสาวก (ยน13.1-20)   การล้างเท้าเป็นธรรมเนียมของชาวยิวที่ปฏิบัติกันมานาน  เมื่ออยู่นอกบ้าน ยิวสวมรองเท้าแตะ เท้าของพวกเขาเต็มไปด้วยฝุ่นดิน  เจ้าบ้านมักเตรียมน้ำสะอาดให้แขกล้างเท้าก่อนเข้าบ้าน  พระเยซูทรงแสดงความถ่อมใจล้างเท้าให้พวกศิษย์ของพระองค์เพื่อเป็นแบบอย่าง  ในเมื่ออาจารย์ล้างเท้าให้แก่ศิษย์ ศิษย์จึงควรล้างเท้าให้กันและกันด้วย  นอกจากนี้ การล้างเท้าเล็งถึงการที่ยอมให้พระองค์เข้ามาชำระจิตใจของเราให้สะอาด เพื่อที่มนุษย์จะบริสุทธิ์พอที่จะเข้าส่วนในความชอบธรรมได้ (13.8)   เท้าเป็นอวัยวะที่พาเราเดินไปสู่หนทางชอบธรรม

5)      ประทานบัญญัติใหม่ (ยน 13.21-38)  ในระหว่างมื้ออาหาร พระเยซูทำนายว่า ยูดาสจะทรยศพระองค์ (13.10, 18, 21, 26)   ทรงเป็นทุกข์เพราะคนที่พระองค์รัก (13.1) กำลังจะทรยศขายพระองค์ด้วยการชี้ตัวให้ทหารโรมันจับกุม    คำสั่งเสียสุดท้ายที่พระองค์ให้ไว้กับสาวกคือ ให้รักกันและกันดังที่พระองค์รักพวกเขาทุกคน (13.34-35)

6)      ทรงเปิดเผยว่าพระองค์คือผู้ใด งานของพระองค์คืออะไร และโลกเบื้องหน้าหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร (ยน 14-16)

ทรงเปิดเผยว่าพระองค์เป็นทางไปสู่พระเจ้าพระบิดา (ยน 14.6)  เป็นสัจจะความจริงของโลก (โลกนี้สร้างและอยู่ในการควบคุมของพระเจ้าและพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า) และเป็นชีวิต (ผู้ที่วางใจและเชื่อว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจะได้รับความรอดมีชีวิตนิรันดร์)  ไม่มีผู้ใดถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางพระองค์ (ไม่มีศาสนาใดปลดปล่อยคนจากบาปได้ นอกจากพระเยซู  ศาสนาคริสต์เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่แรกสร้างปราศจากบาปกับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์  เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในความบาปสัมพันธ์ดังกล่าวสิ้นสุดลง แต่พระเยซูคริสต์เป็นบุคคลเดียวที่พระเจ้าแต่งตั้งให้ชำระบาปและคืนสัมพันธ์นั้นให้เป็นเหมือนเดิม   พระองค์จึงเป็นทางเดียวที่ไปถึงพระบิดา)   และเมื่อทูลขอสิ่งใดในนามของพระองค์ พระองค์จะทรงประทานให้ (14.13-14)

งานของพระองค์บนโลกนี้กำลังจะสิ้นสุด พระองค์จะกลับไปยังที่ๆพระองค์มา (14.2)   แต่พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกเพื่อมารับคนที่วางใจในพระองค์ขึ้นไปอยู่กับพระองค์ (14.3)   แม้ว่าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้แต่พระองค์ก็ยังดำรงอยู่  เรารับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์  การดำรงอยู่ของพระองค์เป็นความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งระหว่างพระเจ้าพระบิดากับพระบุตรพระเยซูและคนที่เชื่อในพระเยซู (14.20, 23)   พระองค์เปรียบเทียบความสัมพันธ์เข้าสนิทว่าพระองค์เป็นต้นองุ่นและสาวกของพระองค์เป็นแขนง (15.1-11) แขนงที่ติดสนิทกับต้นเท่านั้นที่จะออกผล  คริสเตียนจะอาจดำรงความเป็นคริสเตียนไว้ได้ถ้าแยกความสัมพันธ์ออกจากพระองค์ (15.5)    ผลของสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นคือ สันติสุข (14.27)  สมปรารถนา (14.14, 15.7, 15.16)  ความยินดีเต็มเปี่ยม (15.11)   และความรักความสัมพันธ์ระหว่างคริสเตียนคงอยู่ (15.12,16-17)

เมื่อพระองค์จากโลกนี้ไปแล้ว พระเจ้าพระบิดาจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทรงคุณลักษณะของพระวิญญาณแห่งความจริง (14.16)  ประทับอยู่ในใจของคริสเตียนทุกคน  ไม่มีข้อจำกัดของร่างกาย (ยน 14.17) แต่พระวิญญาณจะสถิตย์อยู่ทุกที่  เป็นผู้ช่วย (14.26)  ที่ปรึกษา สอนให้เรารู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร (ข้อ 26)  ให้เข้าใจในเรื่องความผิดบาป ความชอบธรรมและการพิพากษาโลก (16.8)  สำแดงพระเยซูและงานของพระองค์ให้ประจักษ์ (16.15)

ทรงทำนายว่าอีกไม่นานพวกเขาจะไม่เห็นพระองค์ และคร่ำครวญเพราะเขาคิดว่าพระองค์ตายจากไปแล้ว    และอีกไม่นานก็จะได้เห็นพระองค์ (16.20)   พระองค์สัญญาว่าจะกลับมาหาเขาอีก (เมื่อพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์)   และทุกคนจะชื่นชมยินดี  ไม่ต่างจากหญิงที่คลอดบุตร ก่อนและขณะคลอดก็มีแต่ทุกข์ แต่ชื่นชมยินดีเมื่อคลอดบุตรแล้ว   ความชื่นชมยินดีที่พระองค์กล่าวถึงคือชื่นชมยินดีที่พระองค์ฟื้นจากความตายและดำรงอยู่นั่นเอง พระองค์ได้ชนะโลกแล้ว (เพราะผลของความบาปคือตายตามธรรมดาของโลก แต่พระองค์มีชัยเพราะไม่ตาย) (16.33)

 

ไม่มีการตอบรับ to “สัปดาห์สุดท้ายของพระเยซู ตอนที่1”

ใส่ความเห็น